บุญของหมา บุญของคน

ขณะทีกำลังเล่นกับน้องหมาที่เอาไปฝากรักษาอาการป่วย ที่คลินิครักษาสัตว์ที่ใช้บริการประจำ ฉันเห็นรถแท๊กซี่สีชมพูคันเก่าเข้ามาจอดเทียบที่ฟุตบาทหน้าร้าน ชาววัยเกษียณก้าวลงมาจากรถ

ฉันจำได้ทันทีว่า ลุงขับรถแท๊กซี่คนนี้มักมาที่คลินิคบ่อย ๆ พร้อมหอบหิ้วหมาเร่ร่อนมาทีละตัว สองตัว เพื่อให้คุณหมอทำหมัน รักษาอาการป่วย หรือไม่ก็อาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนน

คราวนี้ คุณลุงมาพร้อม รปภ. สาววัยกลางคน เธอจูงหมาพันธุ์ทางหน้าตาน่ารักมาตัวหนึ่ง เป็นหมาเร่ร่อนที่เธอรับอุปการะมาตั้งแต่มันยังเด็ก ส่วนอีกตัว คุณลุงอุ้มลงมาจากรถ มันเป็นหมาไทยขนสีน้ำตาลอ่อน แววตามันหวาดระแวง น้ำลายไหลยืด คุณลุงบอกว่า มันเมารถ

“วันนี้ ทำหมันสองตัวนะคุณหมอ” คุณลุงพูด พร้อมหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อ ขึ้นปาดเม็ดเหงื่อบนใบหน้า “รอรับกลับไปเลยนะลุง กรงที่ร้านเต็มแล้ว ช่วงนี้มีหมาเยอะ” คุณหมอบอก
“ครับ เดี๋ยวผมกลับมา เอารถไปล้างก่อน หมามันอ้วกออกมา” แล้วคุณลุงก็ออกจากร้านไป พ่ีรปภ. รอคิวทำหมันให้หมาของเธอ ฉันจึงได้นั่งคุยกับเธอ

“คุณลุงทำแบบนี้มานานแล้วค่ะ รับงานจากคุณหมอ (รักษาคน) และมูลนิธิที่รู้จัก เอาหมาเร่ร่อนมาทำหมันหรือรักษาตัวบ้าง” เธอเล่า และบอกต่อว่า หลังจากทำธุระของน้องหมาแล้ว คุณลุงจะทำความสะอาดรถ ฉีดสเปรย์ให้สะอาด เพื่่อรับส่งผู้โดยสารต่อไป

“คุณลุงบอกว่า ไม่มีผู้โดยสารรังเกียจที่ลุงทำอย่างนี้ หนำซ้ำ ลุงรู้สึกว่า หมาที่ลุงช่วยพามาทำหมัน หรือรักษาตัว มันช่วยให้ลุงมีผู้โดยสารตลอด ไม่เคยขาด ไม่วิ่งรถเปล่า ใครเรียกไปไหน ลุงก็ไป ลุงจึงมีรายได้ ไม่เคยอดอยาก ลุงเล่าว่างั้นนะ” พี่รปภ. สาวบอก

การทำหมันหมาไปเรื่อย ๆ สักวันปัญหาหมาเร่ร่อนก็จะลดลง ปัญหาอุบัติเหตุบนถนนทั้งหมา คน จักรยานก็ลด ปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย อย่างพิษสุนัขบ้า … คุณลุงบอกว่า จะทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆด้วยความหวังว่า จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยลดปัญหาหมาเร่ร่อนให้กับสังคม และดูแลให้สัตว์มีสวัสดิภาพในชีวิตที่ดีเท่าที่ลุงจะช่วยได้

หัวใจของคุณลุงทำให้ฉันนึกถึงเรื่องราวของคุณยายวัย 70-80 ปีคนหนึ่ง ทั้งสองท่านเป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่า เมื่อคุณให้ความเมตตากรุณา คุณจะได้ความเมตตากรุณา ทั้งที่เติบโตในหัวใจคุณและที่จักรวาลหยิบยื่นให้ในรูปแบบต่าง ๆ

คุณยายท่านนี้อยู่ในชุมชนแออัดหลังวัดแห่งหนึ่ง ท่านไม่มีลูกหลาน แต่มีหมา แมวที่เอามาดูแล หรือจะบอกว่า แชร์ห้องพักด้วยก็ว่าได้ ยายไม่ได้ทำงาน แต่อาศัยขอข้าววัดกิน ไม่อดและเอามาแบ่งปันให้หมา แมวในอุปการะ

วันหนึ่ง ในวัยผมสีดอกเลาทั่วศีรษะ ยายพบพระหนุ่มรูปหนึ่ง ได้พูดคุยกัน พระหนุ่มรู้สึกอยากช่วยเหลือคุณยาย เมื่อถึงกำหนดลาสิกขาบท เขาได้ชักชวนเพื่อนชาย 2 คน มาดูแลคุณยายที่บ้านเป็นประจำ ทุกอาทิตย์ พวกเขาจะมาล้างห้องน้ำ ซักผ้าให้ยาย ทำอาหาร กวาดถูบ้าน และเอาอาหารมาให้พอสำหรับหนึ่งอาทิตย์ของยายและบรรดาหมาแมว คุณยายป่วย ก็เอายามาให้ และพาไปหาหมอ

ยายอาจจะไม่ได้สบายมากมาย แต่ก็ไม่เคยอดอยาก ได้พบกับผู้ที่ดูแลอุปการะคุณยาย (เหมือนที่คุณยายดูแลเจ้าหมา แมวมากมายใต้ถุนบ้านหลังน้อย)

บุญ กุศล ?
ฉันเชื่อว่าพลังในจิตจะเหนี่ยวนำสิ่งที่จิตสนใจ ใส่ใจมาให้กับคนนั้น ๆ
คนที่มีใจเมตตา ความเมตตาในใจจะเหนี่ยวนำพลังแห่งความเมตตามาในชีวิต ในรูปแบบต่าง ๆ
ผู้ที่มีความเมตตากรุณาโดยแท้ไม่มีความปรารถนาการตอบแทน เพราะพวกเขาได้รับความสุข ความพอใจ ความเต็มอิ่มในหัวใจเป็นรางวัลอยู่เสมอ ‪#‎พรบคุ้มครองสัตว์‬ ‪#‎หมาเร่ร่อน‬ ‪#‎ความเมตตากรุณา‬

(ข้อเขียนนี้ และที่ผ่านมาเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมรณรงค์ให้เรามี พรบ. คุ้มครองสัตว์ เพื่อดูแลสวัสดิภาพของสัตว์ ทั้งสัตว์ในเมือง ในป่า รวมถึงเพื่อรดน้ำความเมตตากรุณาในสังคมให้งอกงาม)

ฝาก..ไว้ในลมหายใจ

“รู้สึกว่าที่ผ่านมาไม่ได้ทำประโยชน์อะไรเลย” ฉันอ่านเจอข้อความของพี่สาวคนหนึ่ง ฉันไม่รู้ว่าบริบทชีวิตอันใดที่ทำให้พี่รำพึงข้อความนี้ แต่มันก็ทำให้ฉันคิดต่อในบริบทของตัวเอง …
ฉันถามตัวเองบ้างว่า “ชีวิตนี้ได้ทำประโยชน์กับใคร สิ่งใด และตัวเองบ้างหรือไม่”
ฉันพยักหน้ากับตัวเอง “แน่นอน ฉันเชื่อว่า ที่ฉันได้ทำประโยชน์กับผู้อื่นหรือสิ่งอื่นได้ ก็เพราะฉันได้รับประโยชน์จากสิ่งอื่น คนอื่นมาก่อนด้วย ฉันเขียนบทความที่พอจะสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้ผู้คนและสังคมได้บ้าง ก็เพราะมีหลายสิ่ง หลายคนทำประโยชน์ให้ฉัน พ่อแม่ ครอบครัว ครู สังคมท่ี่ส่งเสียให้เรียนหนังสือ ฯลฯ”

“เราจะเป็น/ทำ/มีประโยชน์ให้มากขึ้นไปอีกได้หรือไม่ ต้องทำอะไร อย่างไร” ฉันถามตัวเองต่อ “เราจะมีประโยชน์กับคนอื่น สิ่งอื่นได้หรือไม่ ในยามที่เราอยู่คนเดียว”

ฉันก็นึกถึง “ลมหายใจ”
ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ เราหายใจเข้า-ออกตลอดเวลา หากเราทำลมหายใจให้เป็นประโยชน์ก็คงจะดีมากเลย

ลมหายใจเป็นพลังงานที่หมุนเวียนในโลกที่มีชีวิตใบนี้ สรรพสิ่งได้ประโยชน์จากลม-หายใจ
ฉันนึกถึงการอบรมเมื่อหลายปีก่อน เป็นการอบรมบ่มเพาะโพธิจิตกับครูชาวต่างชาติ ลูกศิษย์องค์ทาไล ลามะ ครูคนนี้แนะนำให้เราหายใจเข้าแล้วทำความรู้สึกว่า มีแสงสว่างกลางอกที่แปรเปลี่ยนอากาศที่เข้าไปนั้นให้เป็นพลังความเมตตากรุณา แล้วหายใจออก แผ่พลังแห่งความสุขให้กับโลก

หายใจเข้า-กตัญญูต่อโลกที่โอบอุ้มชีวิตเรา
หายใจออก-แผ่พลังความรัก ความเมตตาให้สรรพชีวิตทั้งมวล
หายใจเข้า – น้อมรับเอาความทุกข์ทั้งหลายในโลก
หายใจออก-แปรเปลี่ยนความทุกข์นั้นให้เป็นแสงสว่างแห่งความสุขสันติ จากหัวใจของเรา
หรือบางที เราก็อาจจะ
หายใจเข้า-รู้ว่าหายใจเข้า
หายใจออก-รู้ว่าหายใจออก
พลังแห่งสติไม่เพียงเป็นประโยชน์กับตัวเรา แต่ยังเป็นพลังที่ดูแลโลกด้วย

ฉันเคยดูภาพยนตร์สารคดีเรื่อง I AM ความตอนหนึ่งพูดถึงองค์ประกอบเคมีในลมหายใจที่มีมากมาย ไม่เพียงออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์และอีกมาก เคมีเหล่านี้แปรเปลี่ยนตามสภาพแวดล้อมที่เราอยู่ แต่จะมีเคมีตัวหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงและหมุนเวียนเข้า-ออกในสิ่งมีชีวิต คน สัตว์ ต้นไม้ ดิน น้ำ มาตั้งแต่บรรพกาลก่อนยุคมนุษย์ครองโลกเสียอีก

นั่นหมายความว่าอะไร
ในลมหายใจของเรา มีลมหายใจที่พระพุทธองค์เคยหายใจ ลมหายใจที่ยาจก ราชา สัตว์น้อยใหญ่ พ่อแม่ ครอบครัว คนที่เรารักทั้งมวล ฯลฯ เคยหายใจเข้าไป

ฉันเลือกจะเชื่อความคิดนี้ั มันทำให้ฉันรู้ว่า
คนที่ฉันรักไม่เคยจากไปไหน แม้เขาตายจากไปแล้ว พวกเขายังอยู่ในลมหายใจเข้า-ออกของในกายฉัน

ฉันจะเป็นประโยชน์กับชีวิตทั้งหลายในปัจจุบัน และชีวิตที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ เพียงฉันรู้จักฝากความดีงาม พลังแห่งสติ ความกรุณาเมตตา และคุณงามความดีทั้งหลายไว้ในลมหายใจ และหวังว่า ใครก็ตามที่กำลังทุกข์ หากได้รับพลังดี ๆ ในลมหายใจที่ฉันฝากไว้ ก็ขอให้เขาพบความสุข เห็นทางออกจากทุกข์

ฉันว่า น่าจะจริงบ้างนะ เพราะบางเวลา ที่ฉันเศร้า เป็นทุกข์ บางลมหายใจก็ทำให้ฉันเกิดปัญญา

ฉันเชื่อว่า ทุกชีวิตมีประโยชน์และเป็นประโยชน์ต่อกันทั้งสิ้น ซากกิ่งไม้ก็เป็นประโยชน์ให้เห็ดแสนอร่อยเติบโต เพียงหายใจให้ดีก็เป็นประโยชน์

ขอบคุณพี่สาวที่ให้โจทย์ได้ใคร่ครวญ ทำให้ฉันระลึกถึงและพยายามทำตัวให้เป็นประโยชน์เท่าที่สถานการณ์และศักยภาพจะอำนวย ที่สำคัญ ในยามที่อยู่ลำพัง คำว่า “ประโยชน์” ก็ทำให้ฉันอยู่กับลมหายใจสบาย ๆ มีความสุข

ฤทธิ์ของเรื่องเล่า

ช่วงเริ่มต้นชีวิตการทำงาน อาจเปรียบได้เหมือนการเกิดในโลกอีกใบ ในโลกแห่งการทำงานและช่วงต่อไปอีกยาวไกลของชีวิต เราต้องการครอบครัว พ่อ แม่ พี่น้อง ญาติ ที่คอยอบรมสั่งสอน ชี้ทางให้เราเติบโตในชีวิตงานที่ดี และฉันโชคดีที่มีครอบครัวที่ทำงานที่อบอุ่น (พี่น้องเพื่อนฝูงที่บางกอกโพสต์ เนชั่น และสำนักข่าวอื่น ๆ) มีเครือญาติ (แหล่งข่าวและผู้ที่เราสัมภาษณ์เรื่องราวในชีวิตของเขาเพื่อมาถ่ายทอดต่อ) ทุกคนให้บทเรียนชีวิตและสอนให้ฉันรู้จักความเป็นนักข่าวนักเขียนเพื่อมวลชน

นักข่าวคือนักเล่าเรื่อง หลายเรื่องที่เราเล่าสร้างผลสะเทือนในสังคม สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คน นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับบุคคลและสังคม แล้วมีเรื่องเล่าอะไรบ้างที่สะเทือนหัวใจนักข่าว สร้างแรงบันดาลใจให้นักข่าวแปรเปลี่ยนตัวเอง … มากมาย ในวันนี้ ฉันพบว่า ตัวละครในเรื่องเล่าเหล่านั้นดำรงอยู่ในชีวิตของฉันและรอวันแสดงตัวตนเมื่อเวลาที่ “ใช่”มาถึง

ในวัยยี่สิบอ่อน ๆ พี่สาวคนหนึ่งเล่าให้ฟังถึงพี่ชายคนหนึ่ง ที่เป็นอดีตนักข่าว และผันตัวเองไปทำงานในองค์กรพัฒนาสังคมด้านสุขภาพ ในช่วงที่พี่ชายคนนี้ทำงานในองค์กรสุขภาพ วันหนึ่งตอนสิ้นเดือน เขาเดินไปหาเจ้านายและบอกเจ้านายว่า “ขอลดเงินเดือน” (ที่ได้ปรับขึ้น ถ้าจำไม่ผิด) เหตุผลคือ เงินเดือนที่ได้รับนั้นมากเกินความจำเป็นในการดำรงชีวิตของเขา อยากให้เอาเงินส่วนต่างไปใช้ประโยชน์ด้านอื่น ๆ

สั้นแต่ตรึงใจ พี่คนนี้มีความชัดเจนในชีวิตว่า เขาต้องการอะไร ต้องการดำเนินชีวิตอย่างไร รู้ว่าอะไรที่พอ อะไรที่เกิน และมีความกล้าที่จะเดินตามความปรารถนาในชีวิต

ในวันที่ฉันพบพี่ชายคนนี้ เขาไม่ได้เป็นนักข่าวแล้ว แต่เป็นเกษตรกรทำนา ปลูกผักและนำผักมาขายที่บริษัทเป็นประจำทุกสัปดาห์ ทุกครั้งที่พี่เขามาขายผัก เขาคงไม่รู้ว่า ฉันแอบมองเขาอยู่ไกลๆ ชื่นชมผ่านเรื่องเล่าที่เคยรับฟัง และเห็นว่า เขาเป็นอย่างที่เคยได้ฟังจริง ๆ เรียบง่าย สุภาพ อ่อนโยน และมักน้อย บางที ฉันก็จะแวะเวียนไปคุยด้วย เพื่อรับพลังจากพี่ชายคนนี้ และแน่นอนว่า ซื้อผักที่พี่เอามาขายด้วยบ้าง

ฉันไม่รู้เลยว่า ความประทับใจทำให้พี่ชายได้เข้ามาอยู่ในชีวิตของฉันแล้ว และพาให้ฉันทำอย่างที่เขาทำ

คราวหนึ่งไม่นานมานี้ ฉันรับงานผลิตต้นฉบับรายงานประจำปีขององค์กรเพื่อสังคมแห่งหนึ่ง ฉันตกลงงานและงบประมาณเรียบร้อย ในขั้นการดำเนินงาน เกิดมีงานเพิ่มเข้ามาโดยไม่วางแผนไว้ก่อน

ฉันและทีมก็ทำงานตามที่ควรจะเป็นและที่เพิ่มเติม เมื่อใกล้เสร็จงาน ผู้ว่าจ้างเสนอค่าตอบแทนเพิ่มให้อีก 40 เปอร์เซ็นต์

มากกว่าดีใจ ฉันรู้สึกชื่นชมอาจารย์ (ผู้จ้าง) “เมื่อท่านมอบความเป็นธรรมและน้ำใจให้เรา เราก็ต้องตอบแทนท่านด้วยสิ่งนั้นเช่นกัน”

ฉันถามตัวเองว่า “ความพอและความจำเป็นของเราอยู่ที่เท่าไร ที่เราอยู่ได้ และเป็นธรรมกับแรง เวลา สติปัญญาที่ทำงานไป” ฉันจึงเสนออาจารย์ไปว่า ขอเพิ่มค่าแรงเพียง 25 เปอร์เซ็นต์ก็พอ

เมื่องานเสร็จเรียบร้อย อาจารย์และทีมของท่านกำลังดำเนินงานเบิกจ่าย “แน่ใจนะคะว่า ไม่รับตามที่พี่เสนอไป เพราะงานตรวจทานต้นฉบับทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ” เธอถามย้ำ

ฉันคิดในใจ “จะถามกันอีกทำไม ให้อยาก เสียดายเหมือนกันนะ รู้ไหม” ในเสี้ยววินาที สองใจสู้กัน ใจที่อยากได้เงิน กับ ใจที่อยากทำตามอุดมคติชีวิต “ตามที่เคยบอกไปค่ะ ที่อาจารย์ให้มากเกินไป ถ้ารับไป จะไม่สบายใจ” ฉันตอบหนักแน่น สิ่งสำคัญในเวลานั้น คือ รักษาคำพูดที่ให้ไว้

ได้เงินเพิ่มก็ดี แต่เงินนั้นใช้ไปก็หมด และคงไม่เหลืออะไรให้ฉันรู้สึกภูมิใจในตนเอง ความภูมิใจอยู่ที่การทำตามสิ่งที่ตนเชื่อว่าเป็นธรรม ถูกต้องกับทุกฝ่าย ทั้งผู้จ้าง ผู้รับจ้าง สังคม (ที่จะได้รับประโยชน์จากงานที่เราทำ) ที่สำคัญ คือภูมิใจที่ได้เดินตามอุดมคติชีวิตที่ปรารถนา … ใบหน้าและรอยยิ้มของพี่ชายคนนั้นลอยมาในห้วงความคิด

เราไม่ได้อยู่ลำพัง ในชีวิตของเรา มีผู้คนจำนวนมากอยู่ด้วย เรื่องราวของเขา ความประทับใจที่เรามีต่อเขา ประสบการณ์ที่สัมพันธ์กัน ทั้งหมดล้วนสร้างตัวตน ทัศนคติ วิถีชีวิตและชะตามกรรมของเรา

หากฉันประทับใจเรื่องเล่าอีกแบบ ฉันอาจเป็นคนอีกแบบและมีชะตากรรมอีกแบบก็ได้

คิดต่อไปว่า … สังคมของเราบอกเล่าเรื่องอะไรกันบ้าง ผู้คน เด็ก ๆ เยาวชน คนทำงาน คนสูงวัย เราเล่าอะไรให้กันฟัง แล้วเราประทับใจเรื่องเล่าอะไรกันบ้าง … สื่อส่งต่อเรื่องเล่าอะไร … ชะตากรรมของสังคมไทยในวันนี้จะเป็นเรื่องเล่าในวันหน้า เราจะสร้างเรื่องเล่าแบบไหน

พลังแห่งการชื่นชม

 Beauty is in the eyes of the beholder. ความงามอยู่ในใจของผู้ทีเห็นและชื่นชมมัน (ความงาม)

อยากมอบคำนี้ให้กับน้องสาวคนหนึ่งและเพื่อนๆ ทุกคน ในวันพระวันนี้

อยากชวนให้เปิดใจรับความงาม ชื่นชมตัวเองและทุกอย่างรอบตัวในชีวิตค่ะ

การรู้สึกชื่นชมกัน และบอกกล่าวคำชื่นชมต่อกันให้พลัง เป็นหนทางในการเรียนรู้ พัฒนาและแปรเปลี่ยนตัวเองได้มาก

สองสามวันก่อน โทรศัพท์ไปปรึกษาหารือเรื่องการทำและพิมพ์หนังสือ จากน้องสาวคนหนึ่งที่ทำงานในสำนักพิมพ์

หลังจากถามไถ่ทุกข์สุข ขอคำแนะนำ ความรู้ และความช่วยเหลือจากน้องเรียบร้อยแล้ว เราก็วางสายกันไป

ยังไม่ทันวางโทรศัพท์ ก็มีเสียงเรียกเข้าจากน้องคนนั้น “เอ…ลืมอะไรหรือเปล่าน้อ” เราคิด

น้องสาวคนนั้นโทรกลับมาเพื่อบอกว่า ท่ามกลางความวุ่นวายในชีวิตและการทำงานของเธอ การได้ฟังและพูดกับเรา ทำให้เธอรู้สึกสงบ รู้สีกดี น้ำเสียงน้อมนำใจให้สบาย ประมาณนั้น … น้องโทรศัพท์กลับมาเพื่อบอกความนี้ให้เรารับรู้ คุยอีกสักพัก ก็วางสายกันไปอีกครั้ง

อึ้งอยู่คนเดียวในความเงียบ เรารู้สึกขอบคุณที่น้องโทรศัพท์กลับมาสะท้อนความรู้สึกนี้ ทำให้เราตระหนักว่า สิ่งที่เราพูด น้ำเสียง ท่าทีในใจของเรามีผลอย่างไรต่อผู้ฟัง

เราได้ยินกันผ่านคลื่นโทรศัพท์ แต่อะไรเป็นคลื่นที่ส่งความสงบใจ สบายใจไปถึงผู้รับสายปลายทาง?

ผู้สนทนาเปิดใจส่งคลื่นพลังให้แก่กันหรือเปล่านะ

เรื่องนี้ทำให้คิดต่อไปว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไร สีหน้าท่าทาง น้ำเสียง คำพูด การกระทำ ทั้งหมดที่เป็นเรา ล้วนมีผลสะท้อน สะเทือนต่อคนรอบข้างเสมอ … ต้องมีสติรู้ตัวให้มากเสียแล้ว

วันนี้ ชื่นชมตัวเอง ชื่นชมคนในครอบครัว เพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมทาง เพื่อนร่วม… สัตว์ ต้นไม้ ธรรมชาติ แสงแดด สายลม อาหาร เรื่องราว เหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต สุข ทกข์ ความสบายกาย ความไม่สบายใจ ….  แล้วเราจะแปรเปลี่ยนงอกงาม ต้องลองดู

ขอบคุณมากนะคะน้อง

ใคร่ครวญชีวิตและความตาย ยามเที่ยงวัน

สังเกตว่า เมื่อมีคำถามที่มีความหมาย ใจจะวนเวียนใคร่ครวญหาทางสู่คำตอบของใจเอง

เมื่อคืนใจถาม “อะไรที่จะช่วยหรือทำให้เรากล้าโอบกอดความตายฉันท์มิตร …สิ่งใดทำให้ใจเรากล้าหาญ”

คำตอบที่ตกผลึกในโมงยามแห่งรัตติกาล คือ ความรักความศรัทธาในพระพุทธองค์ และความกรุณา

สายวันนี้ คำถามผุดขึ้น “ความรักความศรัทธาในพระพุทธองค์และกรุณาทำให้เราห้าวหาญได้อย่างไร เกิดขึ้นได้อย่างไร”

แล้วฉันก็คิดถึงคำที่ได้ยินจากพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ประมาณว่า “อยู่อย่างไร ตายอย่างนั้น”

ชีวิตมีทุกข์เข้ามาเป็นแบบฝึกหัดให้เราฝึกฝนใจอยู่เสมอ เรามีท่าทีต่อทุกข์ที่แวะเวียนเข้ามาในชีวิตอย่างไร ทั้งทุกข์ทางกาย และทุกข์ทางใจ

เราบ่น กร่นด่าสิ่งรอบตัวภายนอก หรือทบทวนเหตุปัจจัยแห่งทุกข์ เราพยายามทำความเข้าใจ ปล่อยวาง ให้อภัย หรือ จดจำ เจ็บแค้น เรามีวิธีคลี่คลายทุกข์อย่างไร — ท่าทีต่อทุกข์ วิธีการรับมือกับทุกข์ ความเห็นความเข้าใจในทุกข์ ต่าง ๆ เหล่านั้นที่เราทำอยู่ในชีวิตประจำวันจะเป็นอุปนิสัยของใจ และกำหนดท่าทีที่เรามีต่อความตายด้วยหรือไม่

ทบทวนตัวเอง ฉันพบว่า เวลาที่รู้สึกไม่สบายใจ เป็นทุกข์ ฉันจะเข้าหาพระพุทธองค์ ทุกครั้งที่นึกถึงด้วยใจ ด้วยการสวดมนต์ ด้วยการอยู่ใกล้และมองพระพุทธรูป ด้วยการระลึกถึงคำสอนของท่าน นึกถึงความเพียรและความกรุณาของท่านที่ฝึกฝนตนเพื่อช่วยเหลือเราและสรรพสัตว์ ใจจะมีพลังขึ้นมา รู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย วางใจ และท้ายที่สุด ยอมมอบ/วางชีวิตไว้กับท่าน พลังของพระพุทธองค์ยิ่งใหญ่กว่าความกลัว

พุทธานุสติ ฝึกแบบนี้เรื่อย ๆ ในชีวิตกับทุกข์ที่ผ่านมา เล็ก ใหญ่ ฉันหวังว่า ในโมงยามสุดท้าย ความเคยชินนี้น่าจะพอช่วยให้ฉันกล้าน้อมรับความเป็นจริงของชีวิตได้

นอกจากการระลึกถึงคุณพระพุทธองค์แล้ว อีกสิ่งที่ทำให้ใจห้าวหาญ คือ ความกรุณา ความรัก

ความรักทำให้เราทำอะไรได้เกินกว่าที่คาดคิด ความรักให้พลัง เรื่องราวพลังของความรักมีให้เราได้ยินและเห็นกันเสมอๆ เช่น แม่ พ่อ หรือผู้ที่เสี่ยงหรือสละชีพเพื่อผู้อื่น สัตว์ และสิ่งที่มีความหมายต่อผู้อื่น

ในวาระสุดท้าย หากเรานึกถึงความรัก ความกรุณาในหัวใจของเรา ที่มีมาตลอดชีวิตในรูปแบบต่าง ๆ (อย่างพี่สาวของฉัน ที่ทุ่มเททำงานเพื่อเป็นปากเสียงให้คนเล็กคนน้อยผู้ทุกข์ยากในสังคม) ความกรุณาจะเป็นพลังที่ครอบความกลัวไว้ภายใน ความกลัวจะได้รับการดูแลโอบกอดด้วยความรักและกรุณาในใจของเรา ความรักจะเข้ามาแทนที่ความกลัว และหากเราสิ้นลมไปในเวลานั้น เราจะจากโลกนี้ไปด้วยความรักความกรุณา

ความกรุณาอีกแบบที่ทำให้กล้าตาย-ไม่กลัวเกิด เป็นความกรุณาที่มาจากโพธิจิต ที่ปรารถนาจะช่วยสรรพสัตว์ ความกรุณาเช่นนี้เปิดใจให้น้อมรับทุกข์นานา แบกรับทุกข์(อย่างพระเยซูคริสต์รับบาปของทุกชีวิตด้วยความตายของพระองค์) ความกรุณาและความปรารถนาที่จะช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์มีพลังยิ่งใหญ่กว่าความกล้วตายและกลัวทุกข์ จึงทำให้ผู้มีความกรุณานั้นทุกข์กับความตายน้อยลง หรือไม่มีเลย

ใคร่ครวญชีวิตและความตายหลังเที่ยงคืน 


หลังจากเงียบหายไปนาน ฉันเขียนไปถามไถ่ทุกข์สุขของพี่สาวคนหนึ่งว่า “เป็นอย่างไรบ้างคะ”
“เจ็บ..ปวด…” เธอตอบ
“แล้วใจละคะ เป็นอย่างไร”
“ไม่ดี กลัวความตาย ไม่อยากเชื่อเลยว่า ตัวเองจะต้องตายในเร็ววัน”
“เราก็กลัวเหมือนกัน” ฉันตอบ ไม่ได้พูดปลอบใจ แต่พอจะเข้าใจความรู้สึกนี้อยู่บ้าง เพราะเคยเผชิญหน้ากับความรู้สึกกลัวตาย … และได้พบว่า แท้จริงเรากลัวอะไร ซึ่งแต่ละคนก็คงต่างก้นไป หากเราค้นเจอความกลัวเบื้องหลังความกลัวตาย เราอาจจะคลี่คลายความกลัวนั้นได้ในเวลาที่ยังมีลมหายใจ

ความกลัวเป็นเงาของความกล้า
“อะไรที่จะช่วยหรือทำให้เรากล้าโอบกอดความตายฉันท์มิตร …สิ่งใดทำให้ใจเรากล้าหาญ” ฉันถามใจตนเอง
มีคำตอบเดิม คือ ปัญญา ความเห็นและเข้าใจความเป็นจริง และก็มีคำตอบใหม่ที่ไม่คิดมาก่อนผุดขึ้น และดูจะหวังพึ่งได้ เพราะอาจทำได้มากกว่าคำตอบเดิม

สิ่งที่ทำให้ใจเราห้าวหาญ เป็นสิ่งที่เราน่าค้นให้พบเช่นกัน เพื่อจะได้นำมาสู่ใจในเวลาสุดท้าย

รู้สึกขอบคุณพี่สาวที่แบ่งปันความรู้สึกอย่างจริงใจ เธอจะรู้ไหมว่า ได้ช่วยเป่าทุกข์ในใจฉันให้ลอยไปในพริบตา และนำฉันให้ใคร่ครวญความหมายของชีวิตจากมุมแห่งความตาย
นับเป็นกุศลจากการสนทนาธรรม ขอให้ธรรมเบ่งบานในใจพี่สาวและทุกคนค่ะ

ความเป็น “งู” ในตัวฉันและลูกนก — บทเรียนแห่งอุเบกขา

ความเป็นกลางพูดง่าย แต่ทำให้เกิดขึ้น รู้สึกได้จริงนั้นไม่ง่ายเลย เพียงจะ “เข้าใจ” ก็ยังยากเหลือเกิน ฉันจึงไม่ค่อยพูดหรืออ้างถึง “ความเป็นกลาง วางเฉย หรืออุเบกขา” เพราะยังไม่เข้าใจ ไม่รู้จัก มิพักจะบอกให้คนอื่นเข้าถึงและเข้าใจ

ใจของคนเรามักตกอยู่ในสองขั้วตรงข้ามโดยมาก รัก-เกลียด ชอบ-ชัง เห็นด้วย-ไม่เห็นด้วย สู้-ถอย ทำให้เข้าใจคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า ไม่ตกไปในความสุดโต่งสองด้าน และการปฏิบัติธรรมนั้นคือการเดินสายกลาง ไม่เคร่งเกินหรือสบายไป

วันนี้ ฉันขอบคุณบรรดาลูกนกและสัตว์ทั้งหลาย ที่เพียรเข้ามาบทเรียนแห่งอุเบกขาให้ฉันได้เข้าใจบ้างพอสมควร

หลุมฝังร่างลูกนก

หลุมฝังร่างลูกนก

บ้านที่อยู่ท่ามกลางแมกไม้ เวลาพายุฝนมา มักจะพบว่า มีลูกนกตกจากรังอยู่เสมอ ๆ หลายครั้ง ฉันพบลูกนก หลากพันธุ์ บ้างขนยังน้อย ตายังปิด บางตัวก็มีขนขึ้นบ้างแต่ยังไม่บิน และบางตัวกำลังเตาะแตะหัดบิน

เมื่อรับอุปถัมภ์ลูกนกตกรัง ฉันขวนขวายหาความรู้ในการดูแลลูกนกต่าง ๆ เป็นนกพันธุ์ไหน กินอะไร อยู่อย่างไร รังของมันอยู่ที่ไหน เอากลับคืนให้พ่อแม่นกได้หรือไม่ เป็นต้น นอกจากนั้น ฉันยังต้องปรับเปลี่ยนตารางชีวิตตัวเองเพื่อดูแลเหล่าลูกนก คือ ตื่นพร้อมกับเสียงนกเริ่มร้อง ซึ่งเร็วกว่าเวลาตื่นสาย (ตะวันส่องก้น)

นกบางตัวก็อยู่กับฉันร่วมอาทิตย์ บางตัวก็เพียงข้ามคืน จนทำให้ฉันเริ่มรู้สึกว่า บ้านของฉันไม่ใช่ bird hospital แต่เป็น bird hospice เสียมากกว่า บางตัวก็เป็นนกเต็มวัยที่ป่วย ก็เอามาดูแลให้จากไปอย่างสงบ ที่บ้าน มันจะได้พักกายและใจ ในบรรยากาศที่ไม่ต้องห่วงกังวลสัตว์อื่นมาทำร้ายรังแก ไม่มีรถหรือคนเหยียบ ไม่มีหมา แมวมาไล่ มีน้ำและอาหารบริการแล้วแต่มันจะกินหรือไม่ — ก่อนที่มันจะค่อย ๆ หมดลมหายใจไปอย่างสงบ แล้วฉันก็จะมีพิธีสวดมนต์ ส่งวิญญาณนกสู่สุคติ และฝังร่างให้ด้วยความรัก

ในครั้งแรก ๆ เมื่อลูกนกตัวแรก ๆ ที่รับดูแลจากไป ฉันร้องไห้ฟูมฟาย บ่นว่าตัวเองว่าไม่ได้เรื่อง รู้สึกผิดที่ช่วยลูกนกไม่ได้ สงสารชีวิตที่ต้องจบในตอนเริ่มต้น แต่ก็ไม่เข็ด เพราะไม่อาจปล่อยให้ลูกนกลำบากหรือตาย โดยที่ตัวเองไม่ทำอะไรเลยไม่ได้

บางครั้ง ที่ได้ลูกนกมาดูแล ฉันอธิษฐานและแผ่เมตตาให้ลูกนกรอดชีวิต ฉันเช็คใจตัวเองว่า ปรารถนาเช่นนั้นเพื่อนกหรือเพื่อตัวเอง (เพื่อตัวเอง คือ ไม่อยากรู้สึกเสียใจหรือรู้สึกผิด จึงอยากให้มันรอด) ฉันตรวจสอบเพื่อให้ใจมีความบริสุทธิ์ในการช่วยเหลือสัตว์อื่นอย่างแท้จริง โดยไม่มีตัวตนเป็นที่ตั้ง — ตัวล่าสุดนี้ ฉันบอกตัวเองได้ว่า ไม่รู้สึกผิดหรือเสียใจ แต่ปรารถนาจริง ๆ ให้ลูกนกรอด แต่เมื่อมันไม่รอด ก็ไม่เป็นไร ทุกอย่างเกิดตามเหตุปัจจัย

บางทีการช่วยเหลือก็หมายถึงความกล้าที่จะเผชิญความทุกข์ ที่เราไม่อาจช่วยเขาได้เหมือนกัน

ครั้งก่อนหน้านี้ เก็บลูกนกได้ และมีโอกาสให้มันอยู่ในรังที่ทำขึ้น โชคดีที่แม่มันมาและรับดูแลต่อ เราเลยรู้สึกว่า คราวนี้ ลูกนกเหล่านี้คงรอด … แต่ก็มีเหตุจนได้

วันหนึ่ง เสียงนกร้องเอะอะดังมาก ปรากฏว่า งูมากินลูกนกเหล่านั้น ฉันเสียใจมาก ใจกำลังจะเข้าสู่ความรู้สึก “เกลียดชัง” งู แต่แล้วก็คลายไป สิ่งที่เข้ามาแทน คือ ความสลดสังเวช

“งูมันกินสัตว์อื่นเพื่อเอาชีวิตรอดเช่นกัน ถ้าเราไม่ต้องการให้งูกินลูกนก แล้วจะให้งูกินอะไร”

“งูกินลูกนก เราโกรธ แต่ถ้างูกินหนู เราดีใจ อย่างนั้นหรือ นกกับหนูก็ชีวิตเหมือนกัน”

ใจตั้งคำถามตัวเองว่า “เห็นความเป็นงูในตัวเราไหม?”

เราเองก็เบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่นเช่นกัน แม้จะลดละการบริโภคเนื้อสัตว์ แต่วิถีชีวิตสมัยใหม่ก็เบียดเบียนที่อยู่อาศัยสัตว์มากมาย ทำลายคุณภาพชีวิตสัตว์หลายพันธุ์ น้ำในคลองเน่าเสีย ทำให้ปลาและสัตว์น้ำลำบาก คุณภาพอากาศแย่ สัตว์อื่น ๆ ที่หายใจด้วยก็แย่ไปด้วย

วันนี้ ลูกนกตัวล่าสุดที่ได้มาเป็นพันธุ์กินเนื้อ คือ หนอน แมลง การดูแลมันหมายถึงฉันต้องไปให้แมลง หนอนมาป้อนให้มันกิน — ฉันรู้สึกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย ทำใจลำบากที่จะเอาสัตว์เป็น ๆ ป้อนเป็นอาหารให้อีกตัว และภาพของงูตัวนั้นก็กลับมา “เห็นความเป็น “งู” ในตัวลูกนก?”

เจ้าลูกนกคงรู้สึกได้ถึงความลำบากใจของฉัน เลยชิงลาโลกไปเสียก่อน ทั้ง ๆ ที่ฉันเพิ่งออกไปหาซื้ออาหารเม็ดที่ทำจากหนอนและแมลงมาให้มัน (มาอยู่ช่วงเย็นเมื่อวานถึง 10 โมงวันนี้) ฉันสวดมนต์แผ่เมตตาให้มัน แล้วนำร่างไปฝังไว้ในสวน ที่เป็นหลุมฝังศพสัตว์หลายตัวทีเดียว ทั้งนก ปลา คางคก ตุ๊กแก … โดยเฉพาะนก ฉันจำได้ทุกหลุมและทุกตัวว่าฝังตัวไหนไว้ที่ไหน

ชีวิตต่อชีวิต ไม่เพียงว่า เราทุกคนอยู่ได้ด้วยชีวิตของสิ่งอื่น แต่หมายถึงชีวิตได้ให้ปัญญา ให้ความหมายกับอีกชีวิตด้วย ในที่นี้ การจากไปของนกและลูกนกแต่ละตัว รวมถึงสัตว์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง นำความเข้าใจบางอย่างมาให้ฉัน

สำหรับฉัน อุเบกขา คือ ปัญญา ความเข้าใจความเป็นจริง

อุเบกขา คือ การทำเหตุให้ดีที่สุด แล้ววางใจในผลว่า ผลย่อมเกิดตามเหตุนั้น ๆ เมื่อเรากรุณา ก็พยายามช่วยสัตว์ให้พันทุกข์ ทำให้ดีที่สุด และเข้าใจว่า ทุกอย่างมาแต่เหตุและปัจจัย เราเป็นเหตุหนึ่งซึ่งอาจช่วยให้เขารอดได้ หรือไม่ก็ได้

ความเป็นกลาง คือ การไม่เลือกที่รัก มักที่ชัง — รักนก เกลียดงู — งูกินหนูได้ แต่ห้ามกินนกที่เรารักหรือเราเลี้ยง เมื่อใจปลอดจากฉันทาคติหรืออคติ (อันมีตัวตนเป็นที่ตั้ง) การกระทำที่จะเกิดขึ้นก็น่าจะเป็นกลาง เป็นธรรมมากขึ้น

เหตุเริ่มต้นที่จะนำไปสู่ความเป็นกลางในใจได้ คือ การรู้เท่าทัน ฉันทคติ และอคติในตน (จะหมายรวมถึง การเท่าทันคติอื่น ๆ เช่น ภยคติ (ความกลัวภัย) และโมหคติ (ความไม่รู้) หรือเปล่านะ ไม่แน่ใจ ตอนนี้สติปัญญาไปถึงแค่ว่า ต้องเท่าทัน อคติและฉันทาคติ) และหากฉันเห็นงูกำลังจะกินนก กบ หรืออะไร ฉันจะเข้าไปขวางห้ามแน่ ๆ  คงไม่ปล่อยให้เบียดเบียนกันซึ่งหน้า ถ้าลับหลังกถือว่าไม่เห็น แม้นกเองก็เถอะ เวลาเห็นมันบินไล่ผีเสื้อ ฉันก็ไล่มันอีกต่อ “อย่ามากินกันต่อหน้าเลย”

ความเข้าใจในอุเบกขายังไม่สมบูรณ์ แต่เข้าใจมากกว่าเดิมที่ไม่เข้าใจเลย บทเรียนนี้ทำให้ฉันตั้งใจว่า จะลดการเบียดเบียนสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ตั้งใจแผ่เมตตาให้สรรพชีวิตในทุกลมหายใจที่ตื่นรู้ตื่นตัว (ครูสอนธรรมท่านหนึ่งเคยสอนให้หายใจกับความรัก — หายใจเข้ารับพลังและความรักจากสรรพชีวิต หายใจออก แบ่งปันความรักความปรารถนาดีให้สรรพชีวิตเช่นกัน) สุดท้าย หากปรารถนาชีวิตที่ไม่ต้องเบียดเบียน ซึ่งยากเต็มที ดีที่สุด คือ ไปพันจากวัฎฎะนี้

ฉันขออุทิศบุญกุศลจากปัญญาอันเกิดขึ้นนี้ให้กับชีวิตของเหล่าสัตว์ทั้งปวง  

งูเจ้าที่

ฝันเห็นงู อาจเป็นความปรารถนาของสาว ๆ บางคน

ฉัน ไม่ฝันถึงงู แต่ตื่นขึ้นมาเจอ “งู” มาชูคอทักทาย ที่หน้าต่าง

งูเขียวแซมดำตัวเล็ก-ยาวขดตัวนิ่งอยู่นอกหน้าต่าง ชูตัวเล็กน้อยเมียงมองมาที่ฉัน เราสบตากันเล็กน้อย แล้วเจ้างูคงขวยเขิน เพราะมันเลื้อยกระเบื้องหลังคา(ที่เป็นกระดูกงู) ลงไปที่ต้นไม้ข้างล่าง

 

ตั้งแต่เด็ก ฉันมักได้ยินคุณยายพูดถึง “งูเจ้าที่”

“เมื่อกี้รดน้ำต้นไม้ เจองูนะ” ยายบอก เพื่อเตือนกันให้ระวังเวลาออกไปในสวน

“งูอะไร สีอะไร แล้วยายทำไง” ฉันถาม

“งูสีดำ มันไม่ทำอะไร เขาก็เลื้อยไปเอง งูเจ้าที่ อย่าไปทำอะไรเค้า” ยายบอก และไม่ว่าเราจะย้ายบ้านกี่หลัง เราก็จะเจอกับ “งูเจ้าที่” เสมอ ๆ

ฉันไม่เคยถามคุณยายจริง ๆ เลยว่า งูเจ้าที่ หมายความว่าอะไร แต่ตีความเอาเองว่า “งูเจ้าที่” เป็นวิญญาณเจ้าที่ ที่แปลงร่างมาเป็นงู ให้เราเห็น เพื่อทักทายกัน ดังนั้น การเห็นงูจึงเป็นเรื่องของการทำความรู้จัก ทักทายให้รู้ว่า เรารับรู้การดำรงอยู่ของกันและกัน … นั่นเป็นวิธีที่คนโบราณสอนให้เรา “ไม่เบียดเบียนสัตว์”

โตขึ้น (เมื่อเร็ว ๆ นี้เอง) มุมมองต่อ “งูเจ้าที่” เปลี่ยนไป ฉันรู้สึกว่า คำนี้มีความหมายลึกซึ้งกว่าเรื่องของมิติของผีเจ้าที่ ที่ฉันเคยเชื่อ แต่คือความเป็นจริงในธรรมชาติ

พื้นที่บ้านจัดสรรที่ฉันอยู่เป็นพื้นที่ป่า ผืนนามาก่อน และแน่นอนว่า จะต้องมีเจ้าถิ่นเจ้าที่เดิมที่อาศัยที่ดินผืนนี้อยู่ก่อนแล้ว งูก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาอยู่มาก่อนที่โครงการบ้านจัดสรรต่าง ๆ จะเข้ามารุกราน

งูที่เคยเป็นเจ้าที่ กลายเป็นผู้อาศัยที่ไม่มีใครปรารถนาให้อยู่ ต้องไล่ล่า ขจัด นำไปไว้ที่อื่น ฉันสงสารมันมาก และสัตว์อีกหลายตัวที่ต้อง “ไป” เพราะมนุษย์อยากครองพื้นที่ในโลกนี้

ฉันนึกถึงพิพิธภัณฑ์อินเดียนแดง ที่บอกเรื่องราวของการอพยพหนีคนขาวที่ไล่ชนเผ่าให้ออกไปจากบ้านที่พวกเขาอยู่กันมานานหลายชั่วอายุคน … ชะตากรรมของงูและสัตว์นานาในโลกนี้ก็ไม่ต่างจากพฤติกรรมที่มนุษย์ทำกับมนุษย์ด้วยกันเองเช่นกัน

ฉันเคยเจองูหลายครั้งทั้งในบ้าน นอกบ้าน และสถานที่ต่าง ๆ ที่เดินทางไป งูเป็นสัตว์สันโดษ รักสงบ ไม่สุงสิง ที่สำคัญ มนุษย์ไม่ใช่อาหารของมัน ทุกครั้งที่เจอกัน งูจะเป็นฝ่ายหนีไปเสมอ เมื่อเห็นแล้วว่า เราไม่เป็นพิษกับเขา (เขาจึงไม่ต้องเอาพิษมาสู้) และเพื่อป้องกัน เวลาเดินในสวน ฉันจะระมัดระวังเป็นพิเศษ

ในอดีต งูเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสัญลักษณ์ของพลังชีวิตที่เวียนว่ายในกาละและความตาย (และเกิดใหม่) — ผู้เชี่ยวชาญด้านเทพปกรณัม ศ. โจเซฟ แคมพ์เบลล์ กล่าวไว้ใน หนังสือ พลานุภาพแห่งเทพปกรณัม (The Power of Myth)

พญานาคซึ่งเป็นงูใหญ่ก็มีความสำคัญใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้าด้วย และในหลายวัฒนธรรม ไม่ว่า อินเดียนแดง อินเดีย กรีก งูเป็นพลังชีวิตที่ผูกพันกับผืนดิน ปัญญาแห่งผืนดิน ฯลฯ สัญลักษณ์แห่งการแพทย์ ซึ่งเป็นเรื่องของชีวิต อันมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็มีงูเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

โลกนี้เป็นบ้านของเราทุกคน คน สัตว์ ต้นไม้ น้ำ อากาศ ทุกสรรพสิ่งได้รับพร ได้รับสิทธิให้อยู่อาศัย ได้หายใจ ได้ดื่มกินจากโลกเท่า ๆ กัน … ไม่น่าที่จะมีใครได้สิทธิมากกว่ากัน แต่ทุกคน ทุกสรรพสิ่งมีหน้าที่ดูแลรักษาบ้านด้วยกัน

มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีปัญญา น่าจะนำปัญญามาดูแลบ้าน —โลก— และเพื่อนร่วมโลกให้มีความสุข ไม่ควรต้องเบียดเบียนกันเลย

ก็หนึ่งชีวิต เหมือนกัน

คนไทยดูจะเป็นคนที่เข้าถึงธรรมชาติของใจ จึงประดิษฐ์คำที่มีคำว่า “ใจ” มากมาย ให้ภาพและความหมายที่ตรงและชัดเจนอย่างยิ่ง เช่น เบาใจ โล่งใจ น้ำใจ ใจดำ ใจแข็ง ใจอ่อน ตกใจ หย่อนใจ ฯลฯ และในวันนี้ วันนี้ “ภาษาใจ วันละคำ” ขอเสนอคำว่า “หนักใจ”

เมื่อรู้สึก “หนักใจ” ลองวกกลับมาดูใจ จะรู้สึกจริง ๆ ว่า ใจมีน้ำหนัก หนักจริง ๆ สิ่งที่ทำให้ใจหนักไม่มีรูปให้จับต้องได้ แต่มีเรื่องที่เป็นมวลนามธรรมที่ถ่วงใจให้หนัก น้ำในตาก็หนัก พลอยจะร่วงได้ตลอดเวลา และเวลานี้สิ่งที่โหยหามากคือ “ปัญญาที่จะนำใจสู่อุเบกขา” กับเรื่องที่กำลังเผชิญ

เมื่อวานนี้ หมาแก่ (โกลเด้นรีทรีเวอร์) ร่างกายผ่ายผอมติดกระดูก หนังท้อง 2 ข้าง แบนติดกัน กระเสือกกระสนเดินออกมาจากรั้วบ้านที่แง้มไว้ กลางแดดเปรี้ยง มันเดินคุ้ยเขี่ยตามพื้นถนน ถังขยะ จนไปถึงหน้าบ้านแห่งหนึ่ง เจ้าของบ้านเห็น รู้สึกเวทนา เรียกไว้ .. มันก็รู้เรื่อง … รอ

ฉันเห็นพอดีเช่นกัน ก็เข้าไปช่วยดูแล ฉันและเพื่อนบ้านช่วยกันหาน้ำ อาหารให้กิน

มันกินอาหารและน้ำอย่างตายอดตายอยาก ระหว่างนั้น เราก็ดูเนื้อตัวมัน มีเห็บหมัดเต็มตัว

พวกเราสงสารมันมาก เลยจัดการโทรตามหมอให้มารับมันไปอาบน้ำ ดูแล ตรวจสุขภาพ

ไม่ว่าเจ้าของหมาจะอนุญาตหรือไม่ ชีวิตนี้มีเจ้าของ ที่ไม่ใช่เจ้าของหมา เราไม่อาจปล่อยให้หมาตรงหน้าอดตาย โดยไม่ทำอะไรเลย

หมอช่วยกันดูแลเจ้าหมาตัวนี้อยู่หลายชั่วโมง จนกระทั่งสองทุ่ม จึงเอามาส่งที่หน้าบ้านคนที่เวทนาทำอาหารให้มัน

มันไม่ยอมเดินกลับบ้านตัวเอง ขืนตัวแข็ง ฉันจึงลองใจ จูงพาเข้าบ้านหลังใหม่ที่อยากรับหมาแก่และป่วยอย่างมัน … มันก็เดินตามโดยดี ทุกคนสะเทือนใจมาก หมอและผู้ช่วยหมอต่างช่วยกัน กุลีกุจอจัดสถานที่

แต่แล้ว แม่บ้านของบ้านเจ้าของหมาก็เดินมาตาม ดุไล่มัน ขู่จะตี มันกลัวก็พยายามลุก และพยายามวิ่ง (แม้จะเดิน ยังยากเลย) วิ่งสักพักมันหอบเสียงดัง แม่บ้านก็ยังดุว่าให้รีบไป ฉันก็คุยกับเขาดี ๆ ว่า มันเหนื่อย มันแก่แล้ว ให้มันพักก่อน เดี๋ยวฉันพามันกลับเอง แล้วฉันก็ยืนให้หมาเอนตัวพิง ลูบตัวให้กำลังใจมัน … มันเป็นอย่างนี้อยู่หลายรอบก่อนจะถึงบ้าน ซึ่งอยู่ห่างไปสัก 200 เมตร

ฉันอุ้มมันขึ้นบันได 1 ขั้น ขึ้นโรงรถ ที่เขาให้มันใช้เป็นที่กิน นอน ถ่าย

“ขอโทษนะคะที่ไม่ได้ขออนุญาตก่อน เอามันไปหาหมอ พอดีเห็นมันออกมา แล้วดูไม่สบาย เลยพาไปหาหมอ” ฉันรีบพูดต่อ “เคยเห็นเขาตอนเด็ก ๆ เขาเป็นหมาดี นิสัยดี น่ารัก ฉลาด เป็นมิตร”

เจ้าของยิ้ม “มันเป็นลูกของหมาประกวดที่เคยเล่นหนังด้วยนะ (แล้วก็พูดชื่อหนัง ที่ฉันไม่รู้จัก)… แต่ตอนนี้มันแก่แล้ว” เธอยิ้ม …. ดูเธอจะไม่สนใจข้อมูลที่ฉันบอกว่า “หมาตัวนี้จิตใจดีมาก”  ฉันไม่สนใจว่า มันเป็นลูกหมาดารา ไม่สนใจว่ามันแก่ เด็ก สวย ดัง แต่ฉันสนใจชีวิตของมัน

อย่างน้อย ฉันก็รู้สึกว่า ตัวเองพูดได้เข้าทางเจ้าของ เพราะดูเขาปลื้มในที่มาของหมา ฉันเลยขออนุญาตเข้ามาดูแล เล่นกับมันบ้าง ซึ่งเขาก็ไม่ปฏิเสธ เพราะฉันปลื้มหมาเขา (และอาจจะหมายถึงตัวเองไปด้วยก็ได้)

ตั้งแต่ที่ฉันเห็นว่า เจ้าหมาตัวนี้เริ่มโทรมและผ่ายผอมมาก ขาดการดูแล ฉันไม่พอใจเจ้าของและคนในบ้านเขาอย่างมาก แต่ความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อกันไม่อาจช่วยเจ้าหมาได้ ฉันพยายามวางใจมองคนอย่างเป็นมิตร ไม่ต่อว่าด่าทอ ที่เขาไม่แยแสหมา ฉันชื่นชม”หมา” ในสิ่งที่มันเป็น และหากคำชมของฉันที่มีให้หมาของเขาจะทำให้เขาปลื้ม และเปิดทางให้ฉันเข้าไปมีส่วนดูแลทุกข์สุขของมันได้บ้าง ฉันก็ยินดี

ทุกคืน ที่ห้องพระ ฉันจะสวดมนต์ แผ่เมตตา และคิดถึงมันด้วย

มันแก่และป่วย แต่สายตา ท่าทางของมันงดงามมาก เวลาที่มันมองฉัน กระดิกนิด ๆ เท่าที่แรงพอมี ฉันสัมผัสรู้ว่า มันรู้สึกอย่างไร มันซื่อสัตย์ อ่อนโยน ใจดี รู้คุณ ฉลาด

เช้าวันนี้ ตอนที่ฉันออกไปใกล้รั้วบ้าน ฉันยังแอบเห็นมันมองมานอกรั้ว ตามเสียงฉัน และมองมาที่ฉัน ดวงตามันแจ่มใส

ใจหนักเหลือเกิน พยายามคิดหาวิธี คิดความคิดที่จะช่วยปลอบ ก็พบว่า นั่นเป็นวิธีการหนีทุกข์อยู่ดี เวลาที่เผชิญกับความทุกข์ การพูดว่า เราทำอะไรไม่ได้หรอก หรือโยนให้เป็นเรื่องของเวรกรรม ก็ต้องปล่อยไปตามยถากรรม ฯลฯ นั้นดูจะเป็นการพูดเพื่อหนีภาวะที่ต้องรับผิดชอบ หนีปัญหา

ฉันเห็นว่า อุเบกขาเป็นหนึ่งในพรหมวิหาร 4 ซึ่งไม่ได้เป็นข้อ ๆ ที่แยกขาดจากกัน ทว่า ทั้ง เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ทุกข้อดำรงอยู่ด้วยกัน ปฏิบัติการพร้อมกัน อุเบกขาจะทำได้ก็ต้องการปัญญาที่เข้าใจความเป็นจริง และประกอบด้วยเมตตากรุณาด้วย คือ พยายามให้เต็มกำลังเสียก่อน จนสุดกำลังศักยภาพของตนที่จะทำได้แล้ว เข้าใจเหตุปัจจัยที่ทำให้เรื่องราวต่าง ๆ เกิดและดำเนินอย่างที่เป็น

ทุกข์นี้เป็นโอกาสอันงามในการฝึกภาวนา ฝึกวางใจ ฝึกอุเบกขา ที่กอปรด้วยสติ ปัญญาและกรุณา

ในชีวิต เหตุการณ์เช่นนี้ยังจะมีมาอีกแน่ และเข้าใกล้ตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งสุดท้าย ใจต้องเรียนรู้ที่จะวางกาย วางใจ วางชีวิต ที่จะต้องจบไปให้ได้อย่างมีปัญญาด้วยเช่นกัน

 

ระหว่างที่กำลังทำสวน สายลมก็พัดมา หอบเอาความเหนื่อยล้าของฉันไปกับมัน — ทำให้นึกถึงหนุมาน ที่เมื่อใด พ่อ คือ พระพายพัดมา พลังชีวิตก็จะกลับฟื้นคืนมาทันที — มันจริงเช่นนั้น สายลมช่วยปัดเป่าความหนักกาย หนักใจได้มาก เมื่อเราเปิดใจ เปิดปอด สูดลม (ไม่เป็นพิษ) เข้าไปในร่างกาย

ในโลกย่อส่วน ที่บ้านของฉัน ท่ามกลางต้นไม้ พยับแดด สายลม บ่อน้ำ สัตว์เล็ก ๆ ในสวนน้อย ๆ ฉันรู้สึกมีความสุข ที่เป็นส่วนหนึ่งในธรรมชาติ ฉันรักจิตวิญญาณในธรรมชาติ และตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อได้ฟังเรื่องราวเล่าขานทำนองนี้จากชนเผ่าโบราณ อย่าง ชาวอินเดียนแดง เช่นในวันนี้ เนื้อความส่วนที่อ่านบังเอิญให้เป็นเรื่องที่สอดคล้องกับความรู้สึกข้างต้นอย่างยิ่ง เป็นจดหมายที่ ชีฟ ซีแอทเทิล (Chief Seattle) เขียนถึงรัฐบาลสหรัญอเมริกา ในปี ค.ศ. 1852 เมื่อรัฐบาลสหรัฐอขอซื้อที่ดินของชนเผ่า

เนื้อความในจดหมายมีดังนี้ (คัดลอกจากหนังสือ พลานุภาพแห่งเทพปกรณัม หน้า 42-44)

“ประธานาธิบดีที่วอชิงตันส่งข่าวมาว่า เขาปรารถนาจะซื้อผืนแผ่นดินของเรา แต่คุณจะซื้อขายผืนแผ่นดิน ท้องฟ้าได้อย่างไร?  ความคิดนี้แปลกสำหรับเรา หากเราไม่ได้เป็นเจ้าของความสดชื่นของอากาศและประกายของท้องน้ำ คุณจะซื้อมันได้อย่างไร?

ทุกส่วนของโลกนี้ล้วนศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้คนของผม ใบสนที่เป็นมันแวววาวทุกใบ หาดทรายทุกแห่ง หมอกทั้งหมดในป่าอันมืดมิด ทุ่งหญ้าทุกแห่ง แมลงที่กำลังส่งเสียงทุกตัว ทุกสิ่งล้วนศักดิ์สิทธิ์ในความทรงจำและประสบการณ์ของผู้คนของผม

เรารู้จักน้ำหล่อเลี้ยงซึ่งไหลผ่านต้นไม้ เหมือนกับที่เรารู้จักเลือดที่ไหลผ่านเส้นเลือดของเรา เราคือส่วนหนึ่งของโลก และโลกคือส่วนหนึ่งชองเรา

ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมคือพี่สาวน้องสาวของเรา

หมี กวาง นกอินทรีผู้ยิ่งใหญ่ สัตว์เหล่านี้คือพี่ชายน้องชายของเรา

ยอดเขา น้ำหวานในทุ่งหญ้า ความร้อนจากร่างของม้าแคระและมนุษย์ ทั้งหมดล้วนอยู่ในครอบครัวเดียวกัน

sunset at Bang Pakong

น้ำที่ส่องประกายระยิบระยับซึ่งไหลไปในลำธารและแม่น้ำ ไม่ได้เป็นเพียงน้ำ แต่คือเลือดของบรรพบุรุษของเรา

หากเราขายผืนดินของพวกเราให้กับคุณ คุณจะต้องจำไว้ว่า ผืนดินนี้ศักดิ์สิทธิ์

ภาพสะท้อนทางวิญญาณทุกภาพในน้ำใสของทะเลสาบบอกเล่าถึงเหตุการณ์และความทรงจำในชีวิตของผู้คนของผม เสียงกระซิบของสายน้ำ คือ เสียงของพ่อของพ่อของผม

แม่น้ำคือพี่ชายน้องชายของเรา แม่น้ำดับความกระหายของเรา แม่น้ำโอบอุ้มเรือคานูของเรา และเลี้ยงลูกหลานของเรา ดังนั้น คุณจะต้องให้ความกรุณาแก่แม่น้ำ ให้เหมือนกับที่คุณให้แก่พี่ชายหรือน้องชาย

หากเราขายผืนดินของเราให้แก่คุณ จงจำไว้ว่าอากาศมีค่าสำหรับเรา จำไว้ว่าอากาศแบ่งปันจิตวิญญาณของมันให้กับทุกชีวิตที่มันค้ำจุน สายลมซึ่งมอบลมหายใจแรกให้กับปู่ของเรานั้น ได้รับลมหายใจสุดท้ายของเขาเช่นกัน สายลมยังมอบจิตวิญญาณแห่งชีวิตให้กับลูกหลานของเรา ดังนั้น หากเราขายผืนดินให้กับคุณ คุณต้องรักษามันไว้ต่างหาก และต้องรักษาความศักดิ์สิทธิ์ให้เป็นสถานที่ซึ่งมนุษย์สามารถไปลิ้มรสหวานของสายลม ซึ่งเกิดจากดอกไม้ในทุ่งหญ้า

คุณจะสอนสิ่งที่เราสอนลูกหลานของเราให้กับลูกหลานของคุณไหม? ว่าโลกคือมารดาของพวกเรา สิ่งที่เกิดขึ้นกับผืนแผ่นดินก็จะเกิดกับลูกทุกคนของผืนแผ่นดิน

สิ่งที่เรารู้ : โลกไม่ได้เป็นของมนุษย์ มนุษย์เป็นของผืนแผ่นดิน ทุกสิ่งล้วนเกี่ยวพันกัน เหมือนสายเลือดที่เชื่อมโยงเราทุกคนเข้าด้วยกัน มนุษย์ไม่ได้ถักทอสายใยแห่งชีวิต เขาเป็นเพียงสายใยเส้นหนึ่งในนั้น สิ่งใดก็ตามที่เขาทำกับสายใยแห่งชีวิตนี้ ก็เท่ากับเขาทำกับตัวเองด้วย

สิ่งหนึ่งที่เรารู้ : เทพเจ้าของเราคือเทพเจ้าของคุณเช่นกัน ผืนแผ่นดินมีค่าสำหรับพระองค์ และการทำร้ายผืนแผ่นดิน คือ การทับถมคำดูหมิ่นลงบนองค์พระผู้สร้าง

โชคชะตาของพวกคุณเป็นความลับสำหรับเรา จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อกระบือทั้งหมดถูกฆ่า? เมื่อม้าป่าถูกปราบให้เชื่อง? จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมุมลับในป่าอบอวลไปด้วยกลิ่นของมนุษย์มากมาย และทิวทัศน์ของภูเขาตามธรรมชาติถูกบดบังด้วยสายโทรศัพท์ ? พุ่มไม้จะไปอยู่ที่ใด หายไป! นกอินทรีจะไปอยู่ที่ใด? หายไป! และจะเป็นอย่างไรหากเราต้องกล่าวอำลาจากม้าแคระอันปราดเปรียว จุดจบของการมีชีวิต และจุดเริ่มต้นของการอยู่รอด

เมื่อคนผิวแดงคนสุดท้ายอันตรธานไปพร้อมกับบริเวณอันรกร้างว่างเปล่า และความทรงจำของเขาเป็นเพียงเงาของเมฆที่เคลื่อนผ่านทุ่งหญ้า หาดทรายและป่าเหล่านี้จะยังคงอยู่ที่นี่หรือไม่? จะมีวิญญาณของผู้คนของผมหลงเหลืออยู่ที่นี่บ้างหรือไม่?

เรารักโลกนี้ เหมือนกับที่ทารกรักเสียงหัวใจเต้นของมารดาของเขา ดังนั้น หากเราขายผืนดินของเราให้กับคุณ จงรักมันให้เหมือนกับที่เรารัก ดูแลมันให้เหมือนกับที่เราดูแล เก็บความทรงจำของผืนดินอย่างที่มันเป็น ในยามที่คุณได้รับมันเอาไว้ในใจ จงรักษาผืนดินไว้เพื่อเด็กทุกคน และจงรักมันเหมือนกับที่พระผู้เป็นเจ้าทรงรักเราทุกคน

ดังเช่นที่เราเป็นส่วนหนึ่งของผืนดิน คุณก็เป็นส่วนหนึ่งของผืนดินเช่นกัน ผืนแผ่นดินนี้มีค่าสำหรับเรา ผืนแผ่นดินนี้มีค่าสำหรับคุณด้วยเช่นกัน

สิ่งหนึ่งที่เรารรู้ : มีพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว ไม่มีมนุษย์คนใด ไม่ว่าเขาจะเป็นคนผิวแดงหรือผิวขาว สามารถแยกจากกันได้ เพราะถึงอย่างไร เราก็เป็นพี่น้องกัน”