“เธอเป็นใคร” ชายคนหนึ่งถามหญิงตรงหน้า
“ฉันเป็นเมียคุณไง” เธอตอบสามีที่มีภาวะความจำเสื่อม
“เหรอ .. อึม ก็มีส่วนคล้ายนะ แต่เมียฉันสวยกว่านี้”
ฉันหัวเราะกับเรื่องเล่าจากข้างบ้านที่เพื่อนแชร์ให้ฟัง แล้วก็รีบต่อทันทีว่า “ถ้าเป็นฉัน จะถามกลับไปว่า เธอคิดว่าฉันเป็นใครล่ะ” (เพราะในใจ ฉันเป็นอะไรก็ได้สำหรับเธอ)” เสียงตอบสดใสระคนเสียงหัวเราะ แต่ในใจ ฉันรู้ว่า กำลังปกปิดความรู้สึกบางอย่าง “หากเพื่อนที่นั่งข้างฉันในขณะนี้ ถามคำถามเดียวกันนั้นว่า “ฉันเป็นใคร” ฉันจะตอบเธอว่าอะไร ฉันจะขำออกหรือไม่”
ฉันก็ยังอยาก “ขำ” อยู่นะ (เพราะอยากให้เธอหัวเราะและให้เธอรู้สึกว่า การจำกันไม่ได้ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร) และฉันอาจจะตอบเธอว่า “เออเนอะ แล้วฉันเป็นใครหว่า ยังไม่แน่ใจเลย ก็อยากรู้เหมือนกัน ช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าฉันเป็นใคร” ถ้าฉันตอบแบบนี้ เพื่อนจะต่อความอย่างไรไหมน้อ และถ้าฉันตอบว่า “ฉันชื่อ… ฉันเป็นคนที่รักเธอมาก รักที่จะดูแล และอยู่เคียงข้างเธอจนสุดทาง อยากทำให้เธอมีความสุข มีคุณภาพชีวิตและคุณภาพการตายที่ดีที่สุดตามสติกำลัง” คำตอบนี้จะพอใช้ได้ไหม
.
หากคนที่เรารักจำเราไม่ได้ มันคงเจ็บปวดเหมือนกันนะ ที่เราจะต้องกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับคนที่เรารัก เจ็บปวดที่เขาไม่เหลือความทรงจำแม้กระทั่งความรักให้เรา … แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือ ฉันยังมีความรักและความทรงจำเกี่ยวกับเธอ และสิ่งนี้จะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตของทั้งตัวฉันและเธอได้
.
วันนี้ ฉันพิจารณาบทเรียนที่ชื่อว่า “ความทรงจำ” ในที่นี้ ฉันไม่ได้พูดถึงความทรงจำในแง่จำชื่อคน ภาษา ความรู้ วิชาการศาสตร์ต่างๆ แต่ฉันหมายถึงความทรงจำในลักษณะเจาะจง ที่เกี่ยวกับเรื่องราวที่เรามีเกี่ยวกับตัวเองในความสัมพันธ์กับผู้อื่น
ความรู้สึกของฉันที่มีต่อ “ความทรงจำ” เป็นส่วนผสมของความชอบและความไม่ชอบ ความรู้สึกอยากโอบกอดและผลักไส พูดง่ายๆ คือ love-hate relationship … เรื่องนี้ยังไม่แล้วใจในความคิด
…….. ตัดฉาก ไปที่หน้าบ้านเพื่อน —- บ้าน 3 ชั้นหลังเล็ก ท่ามกลางตึกสูงกลางเมือง ให้ความรู้สึกถึงบ้านหนูน้อยในภาพยนตร์เรื่อง Stuart Little ……
เพื่อนเอาสิ่งของ หนังสือ ฯลฯ ที่ฉันเคยให้ ไปมอบต่อให้คนอื่น และบางส่วนก็คืนกลับให้ฉัน ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันคงรู้สึกน้อยใจอย่างมาก แต่วันนี้ ฉันแก่แล้ว ฮ่าๆๆ ….. แก่ความเข้าใจชีวิตมั้ง (แอบทดความคิดนิดหนึ่ง : เวลาคนเราน้อยใจ = ใจน้อย มันไม่ค่อยดีเท่าไร ฉันเป็นคนมักมาก อยากมีอะไรมากๆ ดังนั้น พอใจน้อย ก็ต้องทำให้กว้างและมากขึ้น ฮ่าๆๆ หากเราสามารถถ่าง-อ้าใจให้กว้างขึ้น ก็จะโอบกอดเรื่องราวต่างๆ ได้มากขึ้น และเชื่อสิ! ฉันทำได้ ใครๆ ก็ทำได้)
ฉัน (เดาว่าตัวเอง) เข้าใจเจตนาของเพื่อน ที่ต้องการเคลียร์ข้าวของเพื่อให้ชีวิตเบาและเรียบง่ายชึ้น สองเพื่อให้ของที่ไม่ได้ใช้ หรือใช้แล้วไปเป็นประโยชน์ต่อกับผู้อื่น แม้จะเข้าใจ แต่ก็เกิดคำถาม (ตัวเอง) ว่า “เราให้สิ่งที่เธอไม่ต้องการหรือไม่จำเป็นหรือเปล่านะ? สิ่งที่เราให้เธอมันสร้างส่วนเกินในชีวิตและเป็นภาระกับเธอหรือเปล่า? และคำถามสำคัญ คือ เราให้ของเหล่านั้นเพื่ออะไร? และเพราะอะไร?”
.
เอาเข้าจริงๆ ฉันก็คิดว่า สิ่งที่จำเป็นในชีวิตจริงๆ นั้นมีไม่มาก และส่วนมาก เพื่อนก็จัดการหาได้ด้วยเธอเอง ถ้าจะหาสิ่งที่จะมอบให้กัน ก็แทบจะไม่มี … “มีอะไรที่ฉันจะมอบให้เธอได้บ้างนะ” ฉันพยายามคิด “ถ้าเป็นจดหมาย โปสการ์ด ของที่ระลึก ใช้ได้ไหมนะ” ฉันถามตัวเอง “มันจะเป็นขยะในวันหนึ่ง” ฉันตอบตัวเอง “เป็นภาระในการเก็บรักษาอีกต่างหาก” ฉันพยายามค้นหาคำตอบแล้วก็ตามด้วยคำถาม จนกระทั่งมาหยุดที่คำถามว่า “แล้วทำไมฉันจึงอยากจะให้ของต่างๆ กับเธอ”
เสียงความเงียบภายในสะท้อนคำตอบบางอย่าง ฉันยังไม่แน่ใจว่า คำตอบที่มีนั้นใช่ แต่ถ้าไม่พยายามสร้างภาพตัวเองนัก บางส่วนของสิ่งที่ฉันคิดว่า อาจเป็นคำตอบ เช่นว่า ฉันต้องการมีตัวตนในโลกของเธอ ต้องการดำรงอยู่ในความทรงจำของเธอ เพราะหากไม่มีอะไรเหล่านั้นเลย เพื่อนจะนึกถึงฉันไหม ฉันเป็นส่วนในความทรงจำของเธอหรือไม่ (ทำให้นึกถึงเวลาคนเลิกกัน มักคืนของที่เคยมอบให้แก่กัน หรือเผา/โยนทิ้งไปเลย … เพราะอะไร? ไม่อยากมีสิ่งเตือนให้นึกถึงกัน? เป็นการบอกว่าเธอไม่มีตัวตนในชีวืตฉันอีกต่อไป? เป็นการพยายามลบความทรงจำเธอออกไปจากใจด้วยการทำลายเครื่องเตือนความทรงจำ?)
ฉันถามตัวเองต่อว่า แล้วฉันต้องการมีความหมายในความทรงจำของเธอเพื่ออะไรเหรอ? และถ้าเธอไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับฉันเลย ฉันจะรู้สึกอย่างไร … บางอย่างในตัวเหนียมเกินว่าจะเผชิญความเป็นจริงบางอย่าง
………………………. ตัดฉาก ที่ศาลาวัดยามเช้า……………………………..
ในศาลาวัดเช้าวันนี้ ฉันนั่งฟังผู้คนเข้าไปขอความรู้แนวทางปฏิบัติจากอาจารย์ที่สอนธรรมะ สิ่งที่สะดุดใจในวันนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ การเร้าจิตให้ติดภพ (สุขสงบ) กับการที่จิตคิดแล้วเกิดกุศลจิต (สุข สงบ)
อาจารย์ท่านนี้แนะนำนักภาวนาคนหนึ่งว่า เวลาที่เราคิดถึงการปฏิบัติ เรามักคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง และหลายครั้ง หลายคนจะสร้างภพขึ้นมา เป็นภพที่จิตปรุงให้นิ่ง สุข สงบ เป็นการเร้าจิต โน้มจิตให้ไปในทางนั้น ซึ่งเป็นการปรุงแต่ง หากเรารู้ทัน การปรุงแต่ง ก็จะได้ไม่ติดภพที่สร้างขึ้น
ฉันถามอาจารย์ว่า เคยได้ยินพระอาจารย์พูดถึงการยิ้มก่อนที่จะภาวนา (ในรูปแบบ) อย่างนั้นก็เป็นการสร้างภพหรือไม่
อาจารย์ท่านนั้นตอบว่า อันนั้น พระอาจารย์แนะนำสำหรับคนที่ภาวนาเครียด จิตเครียด ให้ช่วยจิตผ่อนคลายก่อนช่วงสั้นๆ เท่านั้น แต่เวลาที่บอกว่า ติดภพนั้น นักภาวนาจะสร้างมันขึ้นและติดอยู่ในนั้นนานจนอาจไม่รู้ว่าติดภพอยู่ เป็นการเร้าจิตให้เป็นอย่างทิ่คิดว่าจะเป็น เร้าจิตให้สุข สงบ นิ่ง —สิ่งนี้ต่างจากการคิดถึงสิ่งที่ทำให้เกิดกุศลจิต อย่างเช่น เวลาที่เราคิดถึงอนุสติ เช่น พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ หรือจาคะสติ (บุญทานการให้ที่เราได้ทำมา) เมื่อคิดถึงสิ่งนั้น ใจจะเป็นกุศล รู้สึกเป็นสุข สิ่งนี้ไม่ต้องเร้า มันเป็นผลของการทำอนุสติ อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ใจเป็นกุศล หากทำต่อเนื่องก็เกิดเป็นสมาธิได้ — โอ้! ฉันปิ๊งเลย และคิดต่อถึง “ความทรงจำในชีวิต”
.
……. ยามค่ำ ในรถ บนทางด่วน …………..
ภาพคนรักเก่าโผล่มาทักทาย … “เออเนอะ ไม่ได้เชิญ ก็มา” ฉันรำพึงกับตัวเอง
คนเรามีความทรงจำมากมาย ทั้งที่เราพอใจและไม่พอใจ และน่าสนใจว่า เราเลือกสิ่งที่จะจำหรือไม่จำ ไม่ค่อยได้ ใจมันเลือกจะจำหรือไม่จำของใจเอง น่าปวดหัวชะมัด! ที่ผ่านมา เวลาที่ความทรงจำที่ไม่พอใจมาทักทาย สิ่งที่มักทำก็มีสองทาง คือ จมดิ่งลงไปในโลกความคิด คร่ำครวญ โวยวาย วนเวียยนซ้ำซาก หรือไม่ก็ ปัดทิ้ง เบี่ยงเบนไปคิดเรื่องอื่น บอกว่า มันไม่มีความหมายอะไร ไม่อยากนึกถึง
แต่วันนี้ ฉันยิ้มทักทายความทรงจำนั้น
“เราอาจใช้ความทรงจำในการสร้างกุศลจิตได้นะ แทนที่จะปล่อยใจให้คิดถึงเรื่องแย่ๆ ในอดีตแล้วจิตเป็นอกุศล ก็น่าจะเปลี่ยนมาคิดเรื่องดีๆ ให้ใจสบาย น่าจะดีกว่า และฉันว่า ทุกเรื่อง มีแง่มุมดีๆ นะ แม้ในความสัมพันธ์ที่แย่ๆ มันก็ต้องเคยดีละว้า! หรือไม่จริง คนที่แยกจากกัน วันนี้ทะเลาะกัน มันก็ต้องมีวันที่เคยยิ้ม เคยหัวเราะ สนุกสนาน กอดคอกันบ้าง ก็น่าจะเอาความทรงจำดีๆ ที่เคยมีมากทำให้เกิดประโยชน์” ฉันสอนตัวเอง แล้วก็ยิ้มให้กับห้วงเวลาที่มีความสุขกับคนรักในอดีต เวลาที่เราสนุกด้วยกัน คุยกันถูกคอ กินขนม ดูหนัง ฟังเพลง ไปเที่ยวกัน
แม้วันนี้ไม่มีอย่างนั้นแล้ว ก็ยิ่งต้องคิดเรื่องดีๆ เข้าไว้หรือเปล่า มันไม่ใช่การมโน หลอกตัวเอง บิดเบือนความเป็นจริง แต่เป็นการใช้ประโยชน์ความเป็นจริง (ที่ทรงจำไว้) ในส่วนที่ดีต่างหาก ไม่ใช่ไม่รู้ความเป็นจริง แต่รับรู้ความเป็นจริงรอบด้าน ทั้งที่ไม่มีแล้วในวันนี้ กับสุขที่เคยมี และก็ไม่ได้มองในส่วนที่ดี แบบมีความหวังว่ามันจะกลับมา
.
ฉันไม่ได้ใช้แนวทางนี้กับความทรงจำจากอดีตคนรักเท่านั้น แต่ใช้กับเรื่องราวอื่นๆ ด้วย ทั้งความทรงจำกับเพื่อน ครอบครัว พ่อแม่ วัยเด็ก ตัวเอง … เมื่อใด ความทรงจำแย่ๆ ผุดขึ้นมา ก็รับรู้ และถ้ากำลังปัญญาพอ ก็เห็นบทเรียนในความทรงจำแย่ๆ นั้น หรือหากกำลังไม่พอ ก็ลองค้นหาเรื่องดีๆ ในความทรงจำนั้นๆ มันต้องมีบ้างละน่า ฉันว่า ความทรงจำเป็นเรื่องที่เราให้ความหมายกับสิ่งที่เกิดขึ้นและความรู้สึกของเราเอง
.
หากสมองยังไม่เสื่อม ฉันก็คงจำสิ่งต่างๆ ที่ใจ/สมองเลือกจำ โดยที่ฉันควบคุมแทบไม่ได้ เพราะบางเรื่อง มันก็จำเอง ทั้งที่ไม่ได้อยากจำ บางเรื่องก็จำได้ แล้วแต่ใจ แต่วันหนึ่ง ทุกอย่างในความทรงจำก็จะดับลง แม้จะมีของที่ระลึกต่างๆ ข้าวของก็สูญสลาย แม้แต่สมองและร่างกายของเราก็เช่นกัน
.
แต่จะว่าไป ในชีวืตที่แต่ละวันวุ่นวายเหลือเกิน ฉันมีเวลาระลึกถึงความทรงจำต่างๆ น้อยมาก เอ..หรือพื้นที่ความจำใกล้เต็ม 555 เอาเป็นว่า ฉันเลือกที่จะดุแลความทุกทรงจำเวลาที่เข้ามาทักทาย รับรู้ และมองในแง่งามที่เป็นจริง แต่ที่สำคัญกว่า และอาจเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ในชีวิต คือ กาอยู่กับปัจจุบัน สัมผัสกับทุกสิ่ง ทุกคน ทุกอย่างในปัจจุบัน ซึ่งงดงามมากมาย ฉันอยากจะ relate กับผู้คนอย่างดื่มด่ำในปัจจุบัน มากกว่าจะจดจำไว้คิดถึง